ทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับเมืองเว้

เว้เป็นเมืองหลักของจังหวัดเถื่อเทียน-เว้ ของประเทศเวียดนามเมืองเว้เป็นอดีตเมืองหลวงที่เคยเจริญรุ่งเรืองด้วยศิลปวัฒนธรรมของเวียดนาม
ตั้งอยู่ในภาคกลางของประเทศ มีแม่น้ำหอมหรือแม่น้ำซงเฮืองไหลผ่านกลาง เว้ได้รับอิทธิพลมาจากจีนเพราะเคยถูกจีนปกครองมาก่อนนานนับพันจึงทำให้มีลักษณะคติความเชื่อและสถาปัตยกรรมที่คล้ายกับจีน
ในช่วงของราชวงศ์เหงียนช่วงปี 2345-2488 เว้นั้นเคยเป็นราชธานีมาก่อน
เว้จึงเป็นศูนย์กลางศิลปวัฒนธรรมชั้นสูงของเวียดนาม เมืองแห่งนี้จึงเต็มไปด้วยศาสนสถานและสุสานหลวง
ปัจจุบันมรดกทางวัฒนธรรมที่ยังคงเหลืออยู่คือพระราชวังไทฮวาหรือพระราชวังสันติสุขที่ก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมเวียดนาม
ซึ่งยังคงความสมบูรณ์แบบและสวยงาม ความน่าสนใจของพระราชวังแห่งนี้คือเคยถูกฝรั่งเศสเผาในปี
พ.ศ. 2488 ทำให้กลายเป็นวังร้าง และต่อมาในปีพ.ศ.2511 ก็ถูกสหรัฐทิ้งระเบิด
เนื่องจากเป็นที่ซ่องสุมของคอมมิวนิสต์ จนกระทั่งองค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้เข้ามาบูรณะและขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในปีพ.ศ. 2536 เมืองเว้จึงมีชื่อเสียงจากโบราณสถานที่ตั้งอยู่ทั่วเมือง จากข้อมูลเบื้องต้นทำให้ผู้ศึกษาสนใจศึกษางานที่ศึกษาเกี่ยวกับเมืองเว้และสถาปัตยกรรมต่างๆ
งานทบทวนวรรณกรรมชิ้นนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาเกี่ยวกับสถานที่ ประวัติศาสตร์
ตลอดจนศิลปะและสถาปัตยกรรม โดยผู้จัดทำได้สำรวจข้อมูลจากห้องสมุดมหาวิทยาลัยขอนแก่น
รวมถึงบทความในฐานข้อมูลงานวิจัย โดยผู้จัดทำได้แบ่งประเด็นการทบทวนวรรณกรรมได้ 3
ประเด็น ประเด็นที่แรก ศึกษางานด้านประวัติศาสตร์ ประเด็นที่สอง
ศึกษางานด้านศิลปะและสถาปัตยกรรม ประเด็นที่สาม ศึกษางานด้านการท่องเที่ยว
การทบทวนวรรณกรรมเรื่องเมืองเว้
ผู้ศึกษาได้ทำการค้นคว้าข้อมูลจากเอกสารชั้นรองเป็นหลัก (Secondary document) พบงานประเภทหนังสือ วารสาร
บทความวิชาการ บทความบนเว็บไซต์และวิดีโอ รวมทั้งสิ้น 14 ชิ้นงาน โดยแบ่งเป็นหนังสือ 6 เล่ม บทความบนเว็บไซต์ 5 บทความ บทความวิชาการ 1 บทความ วีดีทัศน์ 2 คลิป
1. งานศึกษาด้านประวัติศาสตร์
จากการทบทวนวรรณกรรมงานที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเมืองเว้ พบว่าในอดีตนั้นก่อนที่จะเป็นเมืองเว้นั้นเมืองเว้เคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของจีนเป็นเวลาหลายทศวรรษจึงได้รับอิทธิพลมาจากจีนโดยตรง
และถูกสร้างขึ้นในราชสมัยของราชวงศ์เลและเป็นยุคที่รุ่งเรื่องมากในขณะนั้น ในรัชสมัยของราชวงศ์เหงียนเว้เป็นเมืองหลวงของเวียดนามและมีการสร้างพระราชวังเว้ซึ่งใช้เป็นที่ประทับของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์เหงียน
13 พระองค์ และมีการสร้างพระราชวังต้องห้ามซึ่งได้รับอิทธิพลจากการสร้างพระราชวังต้องห้ามในจีน หลังจากที่พระเจ้ายางลองปกครองได้เพียง
33 ปี
ฝรั่งเศสก็บุกเข้าโจมตีเมืองเว้พระราชวังเว้ ในช่วงระยะเวลานี้จักรพรรดิผลัดกันขึ้นสู้ชิงบัลลังก์ในช่วงสั้นๆ
รวมถึงเหตุการณ์ต่อมาคือ การยึดครองของญี่ปุ่นในมหาสงครามเอเชียบูรพาและในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน
พระเจ้าเบ๋าได่ได้สละราชสมบัติหน้าประชาชน
และได้มอบตราแผ่นดินและดาบอาญาสิทธิให้กับฝ่ายปฏิวัติ ซึ่งราชวงศ์เหงียนเป็นราชวงศ์สุดท้ายที่ปกครองเมืองเว้
2. งานศึกษาด้านศิลปะและสถาปัตยกรรม
จากการที่ได้ทบทวนวรรณกรรมงานที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับศิลปะและสถาปัตยกรรมของเมืองเว้
พบว่าเมืองเว้มีสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นที่อยู่ในราชวงศ์เหงียนคือพระราชวังเว้ซึ่งเป็นศิลปะเวียดนาม
และมีการนำรูปแบบของสถาปัตยกรรมมาจากจีนเช่นพระราชวังต้องห้าม ที่รับสถาปัตยกรรมและรูปแบบในการวางผังในการสร้าง
ลักษณะของพระราชวังชั้นในมีกำแพงสี่เหลี่ยมล้อมรอบแต่ละด้าน600เมตร
มีประตูเข้าออกทั้ง4ทิศ โดยประตูโงมนมีความสำคัญเพราะเป็นประตูเข้าสู่เขตพระราชวังสำคัญที่เป็นศูนย์รวมแห่งอำนาจสูงสุดของราชวงศ์เหงียน ซึ่งพระราชวังเว้มีการสร้างกำแพงล้อมรอบ 3 ชั้น ชั้นที่ 1 เป็นป้อมปราการเมืองหลวงเว้
ชั้นที่ 2 ป้อมปราการหลวงซึ่งล้อมรอบพระราชฐาน วัง
วัดและสุสาน ชั้นที่ 3
เป็นป้อมปราการต้องห้ามภายในกำแพงเป็นที่ประทับกษัตริย์ทั้ง 13 องค์
และภายในพระราชวังเว้จะมีการสร้างรูปสัตว์ 4
ชนิดหลักๆ ได้แก่ มังกร หงส์ เต่า และกิเลน
ในส่วนของสุสานทั้ง 7 แห่งนั้นมีการวางผังโดยการนำเอาคติความเชื่อเรื่องฮวงจุ๊ยเข้ามาซึ่งจะต้องมีแม่น้ำและแกนหน้าบริเวณฝังพระบรมศพที่หันหน้าเข้าสู่ภูเขาและจะมีวัดประจำสุสานเสมอ ซึ่งได้รับอิทธิพลของวัฒนธรรมจีนผสมผสานกับวัฒนธรรมเวียดนามในช่วงหลังมีการนำเอาศิลปวัฒนธรรมของตะวันตกเข้ามาในการออกแบบสุสาน
3. งานศึกษาด้านการท่องเที่ยว
จากการที่ได้ทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับการท่องเที่ยวพบว่างานศึกษาทั้ง
4 ชิ้น
เน้นการนำเสนอข้อมูลในรูปแบบเดียวกันคือการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม
และวิถีชีวิตของผู้คน พบว่าการสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองเว้นั้นมีสถาปัตยกรรมโบราณที่กระจายอยู่ทั่วเมืองเว้
เนื่องจากว่าอดีตนั้นเคยเป็นเมืองหลวงของเวียดนามซึ่งยังคงมรกดทางสถาปัตยกรรมไว้คือพระราชวังเว้
สุสานของเหล่าจักรพรรดิราชวงศ์เหงียน วัดเทียนมู่
ซึ่งสถาปัตยกรรมเหล่านี้ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดของเมืองเว้และยังได้รับเป็นมรดกโลกโดยองค์กรยูเนสโก
4. งานศึกษาเมืองเว้โดยสื่อวีดีทัศน์
จากการทบทวนวรรณกรรมผ่านสารคดีทั้ง
2 เรื่อง พบว่าสารคดีทั้งสองเรื่องให้ข้อมูลเกี่ยวกับเมืองเว้ส่วนมากเป็นการนำเสนอการท่องเที่ยวในเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
เว้ถือเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างมาก
เนื่องจากว่าเมืองเว้มีสถาปัตยกรรมที่สวยงานและใหญ่โตและยังเป็นที่ประทับของกษัตริย์ของเวียดนามด้วย
จากการรับชมสารคดีพบว่าสารคดีทั้งสองเรื่องนั้นเป็นการนำเสนอการท่องเที่ยวที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน
ทั้งสถานที่และกิจกรรมต่างๆ เช่น พระราชวังต้องห้าม
สุสานจักรพรรดิราชวงศ์เหงียน วัดเทียนมู่
เป็นต้น ซึ่งสถานที่ที่กล่าวมานั้นเป็นจุดสำคัญและเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมืองเว้เลยก็ว่าได้
สรุปผลการศึกษา
จากการทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเมืองเว้
พบว่ามี หนังสือ 6 เล่ม
บทความบนเว็บไซต์ 5 บทความ บทความวิชาการ 1 บทความ สื่อวีดีทัศน์ 2 คลิป รวมทั้งสิ้น 14
ชิ้นงาน ซึ่งสามารถแบ่งงานเขียนได้
3 ประเด็นคือ ประวัติศาสตร์ ศิลปะและสถาปัตยกรรม
สารคดีและการท่องเที่ยว ทำให้พบว่าการศึกษางานเขียนเกี่ยวกับเมืองเว้ส่วนใหญ่เน้นการนำเสนอในด้านการท่องเที่ยวและสถาปัตยกรรมของเมืองเว้
เนื่องจากในอดีตเมืองเว้เคยเป็นเมืองหลวงของประเทศเวียดนาม
ในขณะนั้นได้มีการสร้างสถาปัตยกรรมมากมายเช่น พระราชวังเว้
สุสานกษัตริย์ของราชวงศ์เหงียน และวัดเทียนมู่ซึ่งเป็นวัดที่เก่าแก่กว่าพระราชวัง ซึ่งในปัจจุบันสถานที่เหล่านี้ได้รับรับความนิยมจากนักท่องเที่ยวและเป็นสถานที่ที่มีความน่าสนใจในการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีตของเมืองเว้ในสมัยนั้น
ทำให้วรรณกรรมส่วนใหญ่เน้นไปที่การนำเสนอข้อมูลเมืองเว้ในด้านการท่องเที่ยวและสถาปัตยกรรมมากกว่าด้านประวัติศาสตร์
ในส่วนประเด็นที่น่าสนใจคือการมองเว้ว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงโหยหาอดีต เพราะเว้เป็นศูนย์กลางการปกครองเดิมในช่วงยุคราชวงศ์
บริบทงานเขียนเชิงการท่องเที่ยวจึงมองว่าเว้เป็นหนึ่งในเมืองสำคัญที่มีบทบาทในอดีตและจะเป็นที่ที่ทำให้ผู้คนได้ไปสัมผัสกับวิถีความเป็นไปแต่เดิมในยุคราชวงศ์
ข้อเสนอแนะ
เนื่องจากเมืองเว้มีสถาปัตยกรรมที่สำคัญที่กระจายอยู่ทั่วเมืองเว้
จนกลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญและดึงดูดนักท่องเที่ยวมากมาย
การนำเสนอข้อมูลของเมืองเว้จึงเน้นนำเสนอข้อมูลเมืองเว้ในทางเชิงท่องเที่ยวและสถาปัตยกรรมเป็นส่วนใหญ่
ในด้านการเสนอข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของเมืองเว้จึงพบได้น้อยมาก ดังนั้นข้อเสนอแนะของผู้จัดทำต้องการให้มีการศึกษาหรือนำเสนอข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของเมืองเว้มากกว่านี้
หากมีงานที่ศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เพียงพอจะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ที่สนใจศึกษาประวัติของเมืองเว้ที่ไม่ใช่เน้นไปทางด้านการท่องเที่ยวเพียงด้านเดียว
No comments:
Post a Comment